Snippet
FORD FOCUS  โฉมปี 2004-2007










Focus Mk 2 ในชื่อรหัส C307 เป็นรถยนต์ที่ใช้แพลตฟอร์ม C1 ของ Ford ซึ่งใช้ร่วมกันกับ Volvo S40, V50 และ C70, Mazda3 และ Focus C-MAX โดยทาง Ford เรียกการใช้แพลตฟอร์มร่วมกันนี้ว่าโครงการ "Global Shared Technologies"

พื้นฐานการออกแบบระบบกันสะเทือน ซึ่งมีส่วนสำคัญในความสำเร็จของ Mk 1 ได้ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งโดยที่แทบจะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย Ford กล่าวว่าการนำระบบกันสะเทือนนี้มาใช้ร่วมกับโครงรถซึ่งแข็งขึ้น 10%  ทำให้ Focus Mk 2 มีการบังคับควบคุมที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม Focus Mk 2 มีแบบตัวถังเหมือนกันกับ Mk 1 โดยแบบซาลูน (ซีดาน) นั้นเริ่มออกจำหน่ายประมาณกลางปี 2005

Focus Mk 2 มีขนาดใหญ่กว่ารุ่นแรกมาก โดยมีฐานล้อยาวขึ้น 25 มม. (1 นิ้ว) และตัวถังยาวขึ้น 168 มม. (6.6 นิ้ว), สูงขึ้น 8 มม. (0.3 นิ้ว) และกว้างขึ้น 138 มม. (5.4 นิ้ว) จึงทำให้มีพื้นที่ภายในและพื้นที่เก็บของด้านท้ายเพิ่มขึ้น เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้นมาประกอบไปด้วย ระบบ KeyFree (เข้ารถโดยไม่ต้องใช้กุญแจ) กระจกหน้าสะท้อนแสงอาทิตย์ ไฟหน้าแบบปรับอัตโนมัติ การโทรศัพท์แบบแฮนด์ฟรีผ่าน Bluetooth และระบบควบคุมเครื่องเสียงผ่านคำสั่งเสียง ระบบโทรศัพท์และระบบปรับอากาศ

นอกจากนี้ Focus Mk 2 ยังมีระบบส่งกำลังทั้งแบบเกียร์ธรรมดา Durashift 6 จังหวะ, เกียร์อัตโนมัติ Durashift 4 จังหวะ หรือเกียร์ธรรมดาแบบ Durashift advanced ซึ่งเป็นระบบใหม่ หรือเกียร์ธรรมดามาตรฐาน ให้เลือกอีกด้วย

รูปร่างลักษณะภายนอกของ Focus Mk 2 ใช้การออกแบบในลักษณะเดียวกันกับ Mondeo และ Fiesta ถึงแม้ว่าจะยังคงลักษณะของ Focus ไว้ก็ตาม แต่รุ่นใหม่นี้ได้นำหลักการออกแบบและสไตล์มาจาก B-Proposal ของ Focus รุ่นแรกสุด ซึ่งถูกยกเลิกไปก่อน และไม่เคยได้รับการผลิตออกมา

บริเวณภายในและแผงแดชบอร์ดได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Mondeo Mk 2 และผลิตมาจากพลาสติกที่มีคุณภาพสูงขึ้นกว่ารุ่นแรก และความรู้สึกโดยรวมด้านความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพื่อให้สามารถสู้ได้กับมาตรฐานของ Volkswagen Gol
เครื่องยนต์

เครื่องยนต์สำหรับรุ่น Mk 2 เป็นการคละรุ่นกันระหว่างเก่าและใหม่ โดยมีการนำเครื่องยนต์ Zetec-SE 1.4L และ 1.6L ที่ทำจากอลูมิเนียมในรุ่นที่แล้วมาปรับปรุงใหม่ แต่เปลี่ยนชื่อเป็น Duratec พร้อมทั้งเพิ่มเครื่องยนต์ 1.6 L Duratec Ti-VCT ที่มีระบบวาล์วแปรผันเข้าไปด้วย

เครื่องยนต์เบนซิน Zetec 1.8L เดิมได้ถูกแทนที่ด้วยเครื่องยนต์ Duratec 1.8L ในขณะที่เครื่องยนต์ 2.0L ถูกแทนที่ด้วยเครื่องยนต์ Duratec 2.0L จาก Mondeo Mk 2

จะสังเกตได้ว่า เครื่องยนต์ Duratec 1.8L และ 2.0L ของ Ford คือเครื่องยนต์ Zetec 1.8L และ 2.0L เดิมจาก Focus และ Mondeo Mk I 

ซึ่งนำมาปรับปรุงใหม่ และไม่มีความเกี่ยวข้องกับเครื่องยนต์ Duratec 1.4L และ 1.6L เลย โดยในรุ่น 1.6L นั้นเป็นเครื่องยนต์ Zetec-SE จาก Yamaha ซึ่งได้รับการปรับปรุงใหม่

เครื่องยนต์ดีเซล Duratorq 1.6L 90 แรงม้า และ 110 แรงม้าซึ่งพัฒนาโดย PSA, เครื่องยนต์ดีเซล 'Lynx' Duratorq 1.8L 115 แรงม้าของ Ford ซึ่งเคยใช้ใน Focus รุ่นก่อน, และเครื่องยนต์ดีเซล PSA DW10 2.0L เป็นเครื่องยนต์ซึ่งมีให้เลือกเป็นมาตรฐานใน Fod Focus เช่นกัน (ซึ่งแตกต่างจากรุ่น 'Puma' ดีเซลใน Mondeo)

เบนซิน
 1.4L Duratec
 1.6L Duratec
 1.6L Duratec Ti-VCT
 1.8L Duratec-HE
 2.0L Duratec-HE
 2.5L Duratec-HE 5 สูบ

ดีเซล
 1.6L (90 แรงม้า และ 110 แรงม้า) Duratorq (จาก PSA)
 1.8L Duratorq (แบบ ?Lynx? จาก Ford)
 2.0L Duratorq (PSA DW10)

ราคามือ2ตอนนี้ ก็มีตั้งแต่ 265000-450000แล้วแต่สภาพรถและปีที่ผลิต

รถรุ่นนี้ เป็นตัวที่ราคามือสองถูกพอสมควรอาจจะเป็นเพราะไม่ใช่รถตลาดและเป็นที่ต้องการของคนเฉพาะกลุ่มที่ชอบจริง และรถรุ่นนี้สามารถนำมาแต่งได้สวยมากโดยเฉพาะรู๋น RSที่เป็นรถที่ทางฟอร์ดนำไปลงแข่งแรลลี่ ที่เมืองไทยสามารถหาชุดพาร์ทแต่งได้ง่ายและราคาค่าแต่งก็ถูก(แต่งแค่ภายนอก)หล่อทีเดว
ข้อดี+ข้อเสีย
-เรื่องเสียง ส่วนตัวผมเห็นว่าก็ยังไม่เงียบเท่าไหร่ แต่ไม่น่าเกลียด และสามารถทำให้เงียบลงได้บ้างเล็กน้อยจากการแดมป์ตัวรถเข้าไป เปลี่ยนยางดีๆสักหน่อย จุเที่แก้ยากหน่อยซึ่งผมอาจจะรู้สึกคนเดียวก็ได้คือ การทำงานช่วงล่างมันค่อนข้างดังซึ่งอาจจะเกิดจากวัสดุหลายๆอย่าง ตรงจุดนี้ ลองไปขับรถคันที่หมายตาดูก่อนครับ ว่าพอใจไหม

-เรื่องช่วงล่าง ไว้ใจได้มากพอสมควร สำหรับรถเดิมๆแล้วเทียบกับตัวอื่นในตลาดก็จะมาแนวสปอร์ตกว่าชาวบ้านอย่างชัดเจนครับ

-ภายใน วัสดุไม่ได้กะโหลกกะลา ดีพอควร และก็มีบางจุดที่ไม่ค่อยดี แตกหักง่าย หลุดหลวมง่าย แต่ไม่ถึงกับน่าเกลียดมากมาย การนั่งหลายคนอาจจะสบาย แต่ผมมองว่าอึดอัดและไม่สบายพอสมควร เบาะแข็งไป และไม่กระชับยามมีอารมณ์ร้วมเวลาอยากมันส์

-เครื่องยนต์ พอไปวัดไปวาครับเร่งแซงไม่น่าเกลียด แต่ต้องกะจังหวะกันสักนิด (อันนี้แตกต่างกับตัวดีเซลอย่างชัดเจน) การบริโภคเชื้อเพลิงไม่ได้มากมายอะไร เท่าๆกันกับเพื่อนร่วมกลุ่มเพียงแต่ชาวบ้านเค้าให้ผลเรื่องการตอบสนองได้ดีกว่า ตรงนี้อาจเป็นเพราะน้ำหนักตัวมากกว่าชาวบ้านเค้า 1.8 ใช้ในเมืองก็เฉลี่ย 8-10 กม./ลิตร ทางไกลก็ 10-13 กม./ลิตร ที่เคยทำได้ (ดีเซลที่ทำได้ 12-14 กับ 14-17 กม./ลิตร ตามลำดับ)

-การบำรุงรักษาและอะไหล่ อย่างที่รู้กันเรื่องศูนย์บริการที่หาดีๆยากมั่กๆ แต่อู่นอกยังพอมีให้อุ่นใจบ้าง อะไหล่ไม่ได้แพงเวอร์ แต่ไม่ถูก กลางๆระหว่ารถยุ่นกะรถยุโรปในคลาสเดียวกัน ออกจะติดมาทางคบหาได้ง่ายมากกว่ายุโรปนิดหน่อย เสียจุดจิกมีบ้างแต่ไม่น่าเกลียดครับ สลิงดึงเปลี่ยนเกียร์ที่ขาดกันหลายคัน แก้ไขไม่ยาก และอยู่ทนนาน เครื่องไม่ได้เปราะปวกเปียก ดูแลดีๆก็อยู่กันนาน

-เชื้อเพลิงทางเลือ ใช้ได้ทุกประเภท แต่เลือกใช้ให้เหมาะกับตัวเรา และปรับแต่งตัวรถให้เหมาะสมกับเชื้อเพลิงเหล่านั้นด้วยครับ
MAZDA 323 Protege ปี2000- 2005







323 Protege' ใช้ไฟหน้าแบบใสทรงสี่เหลี่ยมเฉียง และเป็นแบบตาเพชรมัลติรีเฟล็กเตอร์ ดูแวววาว กันชนหน้าเป็นชิ้นเดียวกับขอบกระจังหน้าเลยขึ้นมาประกบกับฝากระโปรงหน้า ในรุ่น 1,800 ซีซี มีสปอตไลต์ด้านหน้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และรุ่น 1.6 กระทะล้อเป็นฝาครอบ
ส่วนรูปลักษณ์ด้านท้ายนั้น มีฝากระโปรงหลังที่เปิดได้ลึกจรดกันชน สะดวกต่อการขนย้ายสัมภาระ

เครื่องยนต์มีให้เลือก 2 ขุมพลังหลัก คือ 1,600 ซีซี และ 1,800 ซีซี โดยเป็นแบบทวินแคม 16 วาล์ว หัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์แบบแอล-เจตทรอนิกส์ มีแอร์โฟล์วมิเตอร์ และใช้สายพานขับเคลื่อนแคมชาฟต์ทั้ง 2 บล็อก

ระบบเกียร์มีทั้งแบบธรรมดา 5 จังหวะ หรืออัตโนมัติ 4 จังหวะ โดยรุ่นเกียร์อัตโนมัติ มีโหมดควบคุมต่างจากรถยนต์ยี่ห้ออื่นๆ ที่คุ้นเคย คือ มีโหมด HOLD โดยไม่มีปุ่มโอเวอร์ไดร์ฟ (เกียร์ 4) แยกออกมา การใช้ต้องเรียนรู้ไม่งั้นจะงง และในการทดสอบก็พบว่า ในการขับปกติไม่จำเป็นต้องใช้โหมดHOLD หรือเล่นเกียร์เองเลย

ระบบช่วงล่างด้านหน้าอิสระ แม็กเฟอร์สันสตรัต ด้านหลังอิสระปีกนกคู่สัมพันธ์ตามสไตล์เดิม ระบบเบรก รุ่น 1.8 เป็นดิสก์เบรก 4 ล้อ ด้านหน้ามีครีบระบายความร้อน รุ่น 1.6 ดรัมเบรกหลัง ส่วนดิสก์เบรกหน้ามีครีบระบายความร้อน แต่มีขนาดเล็กกว่าของรุ่น 1.8

ราคาของรถรุ่นนี้ ตอนเป็นมือสองแล้ว มีตั้งแต่150000-ประมาน300000แล้วแต่สภาพ และปีที่ผลิต
- ช่วงล่างดี หนึบ กะด้างนิดหน่อย (ก็แหงแหละ มันต้องแลก)
- ภายในสวย ดูดี (ในความรู้สึกของผม)
- กินน้ำมันมากกว่ารถยี่ห้ออื่นในระดับเดียวกัน แต่พอรับได้ ซื้อมาติดแก๊สในเมืองตก 1.3 บาท ต่างจังหวัด 1 บาท (วิ่ง 120 - 130)
- อะไหล่มีเยอะทั้งใหม่และมือ 2 อู่ที่ซ่อมหาได้ครับ ลองเข้าไปดูที่ mazdaclub.net คนที่นั่นบอกได้ละเอียดครับ
- เบาะกระชับมาก (ผมชอบอันนี้แหละ)
- ฝาแฝดกะกับ Ford Tierra ครับ ต่างแค่ภาบนอกนิดหน่อย (ดูมีเพื่อนมากขึ้น :P )
- ซื้อมาไม่กะขายต่อ ซื้อไปโลด ผมได้มาสองแสนห้า กับรถปี 02 (1.6 GLX รุ่นท๊อป, ABS, Airbag) ถ้าราคานี้ไปซื้อรถตลาด ผมคงได้รถปีกว่ากว่านี้ซัก 5-6 ปี

ขอตอบแบบเข้าข้างตัวเองแล้วกันนะครับโปเต้ตัว1.6ยิ่งออโต้จะดูอืดอย่างเห็นได้ชัดไปหน่อยซดน้ำมันกลางๆคือสิบโล/ลิตร(ไม่ซัดนะ)ส่วนตัว2.0แรงดีซิ่งมันส์ปลายหนืดๆได้แค่สุดที่190นิดๆช่วงล่างนี่หนึบดีเกาะด้วยแต่ถ้าเทียบกับเจ้าสามแล้วจะกระด้างกว่ากันเยอะมากทำให้ดูแล้วดิบกว่าเป็นไหนๆแถมฟิลลิ่งดีมากด้วยเพราะถึงแม้เจ้าสามมันจะหนึบแต่มันก็ดูหนึบแบบเรียบๆเหมือนผู้ดีๆหน่อยแต่โปเต้จะดุๆโหดๆเหมือนรถแข่งมากกว่า

ถ้าตัวที่จะซื้อเป็น1.6แล้วเป็นไมเนอร์เชนจ์แล้วแถมว่ามันเป็นเกียร์กระปุกแนะนำให้ซื้อได้เลยครับรับรองว่าไม่ผิดหวัง แต่ถ้าเป็นก่อนไมเนอร์เชนจ์แล้วยังเป็นเกียร์ออโต้แนะนำว่าเหมาะกับขับชิวๆมากกว่าขับมันส์หน่ะครับ

อ้ออีกเรื่องหนึ่งที่ถือเป็นจุดตายข้อด้อยของโปเต้คืออะไหล่ราคาสูงและออกจะหายากไปซักหน่อยไม่เหมือนกับมาสด้าสามที่มีคนซื้อเยอะกว่าเลยทำให้
เขาเอาอะไหล่มาตุนเยอะราคาเลยถูกตามไปด้วย

แต่รุ่น1.6ทั้งก่อนและหลังไมเนอร์เชนจ์นี่ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องอะไหล่หายากแต่จะติดที่ราคามากกว่า
ไม่เหมือนตัว2.0ที่หาอะไหล่ยากมาก(ต้องเบิกแต่ศูนย์)และราคาแพงมากด้วยครับ








HONDA - JAZZ - VTEC 1.5 และHONDA - JAZZ - i-DSI 1.5 ฮอนด้า แจ๊ซ 
ปี2000-2007

ราคา อยู่ประมาณ300000-420000แล้วแต่สภาพรถ


ความเห็นส่วนตัว>>
เนื่องจากแจ๊ซเป็นรถยนต์ขนาดเล็กมีความคล่องตัวสูงแนะนำให้เมื่อได้รถมาแล้วควรนำรถไปเปลี่ยนของเหลวก่อนเป็นอันดับแรก
ต่อมาควรตรวจสอบช่วงล่างโดยช่างผู้ชำนาญเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่รถขนาดนี้ติดแก๊สก็ได้นะ เพราะประหยัดดี และอาจจะเอาไปโหลดลงเล็กน้อยเพื่อความสวยงาม
แนะนำเครื่อง VTEC มากกว่า เครื่อง i-DSI เพราะ เครื่อง VTEC น่าจะประหยัดน้ำมันมากกว่า

โฉมนี้ เป็นโฉมแรกของฮอนด้า แจ๊ซ ซึ่งปัจจุบันนี้ได้เพิ่งหยุดผลิตไปเมื่อไม่นานนี้
จัดเป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็กมาก (Subcompact Car , Supermini)
เครื่องยนต์ที่มีขายในประเทศไทย มี 2 รุ่น คือ 1.5 ลิตร i-DSI และ 1.5 ลิตร VTEC ซึ่งเริ่มขายในปี พ.ศ.
2546-2551 ซึ่งล่าช้ากว่าประเทศญี่ปุ่น

มีระบบเกียร์ 2 ระบบ คือ อัตโนมัติแบบ CVT และธรรมดา 5 สปีด
ตัวถังแบบเดียว คือ hatchback 5 ประตู
มิติยาว 3.845 เมตร กว้าง 1.675 เมตร และสูง 1.525 เมตร หนัก 1,084 กิโลกรัม

รถแจ๊ซโฉมนี้บางรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ แต่ไม่มีขายในประเทศไทย มีเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น อเมริกา และยุโรป

ในญี่ปุ่น,อเมริกา,ยุโรปจะใช้ชื่อ Honda Fit 
















MITSUBISHI - LANCER - GLXi

ปี1996 -2002 โฉมท้ายเบนซ์ เกียร์อัตโนมัติ เครื่องเบนซิน 1500cc-1800cc

ราคาตั้งแต่120000-260000แล้วแต่สภาพ และขนาดความจุเครื่อง มีตั้งแต่1500-1800 cc


ความเห็นส่วนตัว>>
คันนี้รถเก่าหน่อยแต่ยังโอเคอยู่
ถ้ารักรถจริงๆก็เอามาทำข้างในใหม่หน่อยเพราะรถเก่าข้างในจะมีกลิ่นหืนๆ
ก็ควรจะนำเบาะและพรมที่อยู่ในรถออกมาทำความสะอาด โดยจ้างศูนย์ทำความสะอาด
ราคารวมทั้งซักพรมซักเบาะก็ตกราคาประมาณ 2500 บาท
พอได้รถมาก็ควรจะนำรถไปเปลียนของเหลวใหม่
เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่าเจ้าของรถคนเก่าเค้าเปลี่ยนของเหลวครั้วล่าสุดเมื่อไร
(ของเหลวในที่นี้หมายถึง น้ำมันเครี่อง.น้ำกลั่น.น้ำในหม้อน้ำ.เป็นต้น)
แล้วก็ควรจะเช็คช่วงล่างว่าแน่นหรือหลวมครอกแครก
เพราะถ้าช่วงล่างไม่ดีโอกาสเกิดอุบัติเหตูสูงและแนะนำอีกนิด
รถเก่าอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจะมากกว่ารถใหม่อยู่นิดนึง
ถ้าอยากประหยัดควรติดแก๊สแค่นี้ก็นำรถออกมาใช้งานได้สบายๆ

โฉมนี้ แลนเซอร์ออกแบบมาคล้ายคลึงกับโฉมที่ 6 อย่างมาก ข้อแตกต่างที่เห็นเด่นๆ จะมีอยู่สองจุดคือ ไฟท้าย ซึ่งจะมีลักษณะเป็นก้อน ต่างจากโฉมที่ 6 ซึ่งมีไฟท้ายเป็นแถบคาด และไฟหน้าของโฉมที่ 7 จะเหลี่ยมกว่า โฉมที่ 6 ส่วนอื่นคล้ายกันมาก เมื่อมองเผินๆ จะนึกว่าเป็นโฉมเดียวกัน ดังนั้น ในวงการรถไทยจึงตั้งชื่อโฉมว่า โฉมท้ายเบนซ์ เพื่อแยกความแตกต่างออกจากโฉม E-CAR

ส่วนสิ่งที่ Lancer ท้ายเบนซ์ ต่างจาก E-CAR คือ เครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง เป็น Invects II ระบบใหม่ และเครื่องยนต์ที่เพิ่มปริมาตรกระบอกสูบ แบ่งรุ่นย่อย ดังนี้

    1.5 GLXi
    1.6 GLXi

และต่อมาได้แตกออกมาเป็นรุ่น F-Style โดยมีเครื่องยนต์ปริมาตรความจุ ดังนี้

    1.6 GLXi Limited
    1.8 SEi Limited

อย่างไรก็ตาม โฉมนี้ก็จัดเป็นอีกโฉมหนึ่ง ที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทย มีการนำไปแต่งเป็นรถสปอร์ต นอกเหนือจากการใช้เป็นรถส่วนตัวและรถครอบครัว เช่นเดียวกับโฉมเดิม และปัจจุบัน ก็ยังสามารถพบเห็นรถโฉมนี้ได้ทั่วไปเช่นกัน และมิตซูบิชิยังผลิตแลนเซอร์รุ่นที่ 7 จากโรงงานส่งป้อนตลาดอยู่ในบางประเทศ เช่น ประเทศเวเนซูเอลา ถึงแม้จะออกแบบมานานถึง 16 ปีแล้ว มีการไมเนอร์เชนจ์เมื่อปี 2542 และไมเนอร์เชนจ์อีกครั้งเป็นรุ่น F-Style เมื่อปี 2543

    รุ่นนี้เข้ามาในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2539-2544












NISSAN - TEANA 2005 2006 2007

นิสสัน เทียน่า โฉมแรก ปี2005 2006 2007
รูปโฉมภายนอกจะแตกต่างกันเล็กน้อยในรถ รุ่นปี 2005-2007
ราคาประมาณ 450000- 700000 บาท แล้วแต่ออฟชั่น

230 JK เป็นรุ่นถูกสุด ไม่มีหน้าจอ, แอร์หมุน, เบาะไฟฟ้าด้านคนขับ, ไม่มี intelligent key, ไฟหน้า Halogen
230 JM เป็นรุ่น Top มีทุกอย่างที่ 230JK ไม่มี
230 JS เป็นตัวไมเนอร์เชนจ์ เปลี่ยนหน้า เปลี่ยนท้ายหมด AIRBAG 6 ใบ, ระบบช่วยการทรงตัว, รีโมทเปลี่ยนจากแผ่นแบนๆ เป็นทรงไข่, ไฟหน้ากึ่งๆ AFS

ความเห็นส่วนตัว>>
ถ้าได้มาก็ไปต้องทำอะไรมาก
เครื่อง 2.3 เอาไปติดแก๊ส LPG ถังใหญ่ ความจุ52 ลิตร ราคาค่าติดตั้งรวมค่าถัง ประมาณ25000
หาชุดพาร์ทที่แต่งสวยๆ ซักชุดราคาประมาณ30000 รอบคัน
เปลี่ยนแมกซ์ใหม่ให้เป็นขอบ19-20 เอาลัอเก่าไปเทิร์นน่าจะได้ราคา 65000 แค่นี้ก็โอเคแล้ว

ข้อดี
1.สมรรถนะคุ้มค่าสำหรับรถราคากลางๆ
2.ดีไซน์รถหรูหรามีระดับ เหมาะกับคนที่ชอบรถดูดีแต่มีงบจำกัด

ข้อเสียเล็กๆน้อยๆ
1. ช่องเก็บของตรงประตู เล็กไป (มาก) ครับ ทุกวันนี้ผมไม่ใส่อะไรไว้เลย เพราะใส่ไม่ได้ซักอย่าง
2. ที่วางแก้วตรงกลาง ถ้ามีแก้วน้ำวางจะเกะกะมากเวลาเปลี่ยนเกียร์
3. เครื่องเสียงครับ เสียงไม่ค่อยสมกับรถราคานี้จริง ๆ ครับ มันแหลม ๆ
4. เกียร์กระตุก ถึงแม้จะเป็นไม่มากและผมชินแล้วก็ตาม
5.  อะไหล่บางชิ้น ควรจะทนกว่านี้
6. เรื่องไฟสวิตซ์ต่าง ๆ ภายในรถครับ อันที่มันควรจะมี ดันไม่มี T_T
7. เบาะครับ หนังเบาะบางไปนิด

หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะช่วยคุณในการตัดสินใจซื้อรถมือสองได้บ้างนะครับ :)