FORD FOCUS โฉมปี 2004-2007
Focus Mk 2 ในชื่อรหัส C307 เป็นรถยนต์ที่ใช้แพลตฟอร์ม C1 ของ Ford ซึ่งใช้ร่วมกันกับ Volvo S40, V50 และ C70, Mazda3 และ Focus C-MAX โดยทาง Ford เรียกการใช้แพลตฟอร์มร่วมกันนี้ว่าโครงการ "Global Shared Technologies"
พื้นฐานการออกแบบระบบกันสะเทือน ซึ่งมีส่วนสำคัญในความสำเร็จของ Mk 1 ได้ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งโดยที่แทบจะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย Ford กล่าวว่าการนำระบบกันสะเทือนนี้มาใช้ร่วมกับโครงรถซึ่งแข็งขึ้น 10% ทำให้ Focus Mk 2 มีการบังคับควบคุมที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม Focus Mk 2 มีแบบตัวถังเหมือนกันกับ Mk 1 โดยแบบซาลูน (ซีดาน) นั้นเริ่มออกจำหน่ายประมาณกลางปี 2005
Focus Mk 2 มีขนาดใหญ่กว่ารุ่นแรกมาก โดยมีฐานล้อยาวขึ้น 25 มม. (1 นิ้ว) และตัวถังยาวขึ้น 168 มม. (6.6 นิ้ว), สูงขึ้น 8 มม. (0.3 นิ้ว) และกว้างขึ้น 138 มม. (5.4 นิ้ว) จึงทำให้มีพื้นที่ภายในและพื้นที่เก็บของด้านท้ายเพิ่มขึ้น เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้นมาประกอบไปด้วย ระบบ KeyFree (เข้ารถโดยไม่ต้องใช้กุญแจ) กระจกหน้าสะท้อนแสงอาทิตย์ ไฟหน้าแบบปรับอัตโนมัติ การโทรศัพท์แบบแฮนด์ฟรีผ่าน Bluetooth และระบบควบคุมเครื่องเสียงผ่านคำสั่งเสียง ระบบโทรศัพท์และระบบปรับอากาศ
นอกจากนี้ Focus Mk 2 ยังมีระบบส่งกำลังทั้งแบบเกียร์ธรรมดา Durashift 6 จังหวะ, เกียร์อัตโนมัติ Durashift 4 จังหวะ หรือเกียร์ธรรมดาแบบ Durashift advanced ซึ่งเป็นระบบใหม่ หรือเกียร์ธรรมดามาตรฐาน ให้เลือกอีกด้วย
รูปร่างลักษณะภายนอกของ Focus Mk 2 ใช้การออกแบบในลักษณะเดียวกันกับ Mondeo และ Fiesta ถึงแม้ว่าจะยังคงลักษณะของ Focus ไว้ก็ตาม แต่รุ่นใหม่นี้ได้นำหลักการออกแบบและสไตล์มาจาก B-Proposal ของ Focus รุ่นแรกสุด ซึ่งถูกยกเลิกไปก่อน และไม่เคยได้รับการผลิตออกมา
บริเวณภายในและแผงแดชบอร์ดได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Mondeo Mk 2 และผลิตมาจากพลาสติกที่มีคุณภาพสูงขึ้นกว่ารุ่นแรก และความรู้สึกโดยรวมด้านความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพื่อให้สามารถสู้ได้กับมาตรฐานของ Volkswagen Gol
เครื่องยนต์
เครื่องยนต์สำหรับรุ่น Mk 2 เป็นการคละรุ่นกันระหว่างเก่าและใหม่ โดยมีการนำเครื่องยนต์ Zetec-SE 1.4L และ 1.6L ที่ทำจากอลูมิเนียมในรุ่นที่แล้วมาปรับปรุงใหม่ แต่เปลี่ยนชื่อเป็น Duratec พร้อมทั้งเพิ่มเครื่องยนต์ 1.6 L Duratec Ti-VCT ที่มีระบบวาล์วแปรผันเข้าไปด้วย
เครื่องยนต์เบนซิน Zetec 1.8L เดิมได้ถูกแทนที่ด้วยเครื่องยนต์ Duratec 1.8L ในขณะที่เครื่องยนต์ 2.0L ถูกแทนที่ด้วยเครื่องยนต์ Duratec 2.0L จาก Mondeo Mk 2
จะสังเกตได้ว่า เครื่องยนต์ Duratec 1.8L และ 2.0L ของ Ford คือเครื่องยนต์ Zetec 1.8L และ 2.0L เดิมจาก Focus และ Mondeo Mk I
ซึ่งนำมาปรับปรุงใหม่ และไม่มีความเกี่ยวข้องกับเครื่องยนต์ Duratec 1.4L และ 1.6L เลย โดยในรุ่น 1.6L นั้นเป็นเครื่องยนต์ Zetec-SE จาก Yamaha ซึ่งได้รับการปรับปรุงใหม่
เครื่องยนต์ดีเซล Duratorq 1.6L 90 แรงม้า และ 110 แรงม้าซึ่งพัฒนาโดย PSA, เครื่องยนต์ดีเซล 'Lynx' Duratorq 1.8L 115 แรงม้าของ Ford ซึ่งเคยใช้ใน Focus รุ่นก่อน, และเครื่องยนต์ดีเซล PSA DW10 2.0L เป็นเครื่องยนต์ซึ่งมีให้เลือกเป็นมาตรฐานใน Fod Focus เช่นกัน (ซึ่งแตกต่างจากรุ่น 'Puma' ดีเซลใน Mondeo)
เบนซิน
1.4L Duratec
1.6L Duratec
1.6L Duratec Ti-VCT
1.8L Duratec-HE
2.0L Duratec-HE
2.5L Duratec-HE 5 สูบ
ดีเซล
1.6L (90 แรงม้า และ 110 แรงม้า) Duratorq (จาก PSA)
1.8L Duratorq (แบบ ?Lynx? จาก Ford)
2.0L Duratorq (PSA DW10)
ราคามือ2ตอนนี้ ก็มีตั้งแต่ 265000-450000แล้วแต่สภาพรถและปีที่ผลิต
รถรุ่นนี้ เป็นตัวที่ราคามือสองถูกพอสมควรอาจจะเป็นเพราะไม่ใช่รถตลาดและเป็นที่ต้องการของคนเฉพาะกลุ่มที่ชอบจริง และรถรุ่นนี้สามารถนำมาแต่งได้สวยมากโดยเฉพาะรู๋น RSที่เป็นรถที่ทางฟอร์ดนำไปลงแข่งแรลลี่ ที่เมืองไทยสามารถหาชุดพาร์ทแต่งได้ง่ายและราคาค่าแต่งก็ถูก(แต่งแค่ภายนอก)หล่อทีเดว
ข้อดี+ข้อเสีย
-เรื่องเสียง ส่วนตัวผมเห็นว่าก็ยังไม่เงียบเท่าไหร่ แต่ไม่น่าเกลียด และสามารถทำให้เงียบลงได้บ้างเล็กน้อยจากการแดมป์ตัวรถเข้าไป เปลี่ยนยางดีๆสักหน่อย จุเที่แก้ยากหน่อยซึ่งผมอาจจะรู้สึกคนเดียวก็ได้คือ การทำงานช่วงล่างมันค่อนข้างดังซึ่งอาจจะเกิดจากวัสดุหลายๆอย่าง ตรงจุดนี้ ลองไปขับรถคันที่หมายตาดูก่อนครับ ว่าพอใจไหม
-เรื่องช่วงล่าง ไว้ใจได้มากพอสมควร สำหรับรถเดิมๆแล้วเทียบกับตัวอื่นในตลาดก็จะมาแนวสปอร์ตกว่าชาวบ้านอย่างชัดเจนครับ
-ภายใน วัสดุไม่ได้กะโหลกกะลา ดีพอควร และก็มีบางจุดที่ไม่ค่อยดี แตกหักง่าย หลุดหลวมง่าย แต่ไม่ถึงกับน่าเกลียดมากมาย การนั่งหลายคนอาจจะสบาย แต่ผมมองว่าอึดอัดและไม่สบายพอสมควร เบาะแข็งไป และไม่กระชับยามมีอารมณ์ร้วมเวลาอยากมันส์
-เครื่องยนต์ พอไปวัดไปวาครับเร่งแซงไม่น่าเกลียด แต่ต้องกะจังหวะกันสักนิด (อันนี้แตกต่างกับตัวดีเซลอย่างชัดเจน) การบริโภคเชื้อเพลิงไม่ได้มากมายอะไร เท่าๆกันกับเพื่อนร่วมกลุ่มเพียงแต่ชาวบ้านเค้าให้ผลเรื่องการตอบสนองได้ดีกว่า ตรงนี้อาจเป็นเพราะน้ำหนักตัวมากกว่าชาวบ้านเค้า 1.8 ใช้ในเมืองก็เฉลี่ย 8-10 กม./ลิตร ทางไกลก็ 10-13 กม./ลิตร ที่เคยทำได้ (ดีเซลที่ทำได้ 12-14 กับ 14-17 กม./ลิตร ตามลำดับ)
-การบำรุงรักษาและอะไหล่ อย่างที่รู้กันเรื่องศูนย์บริการที่หาดีๆยากมั่กๆ แต่อู่นอกยังพอมีให้อุ่นใจบ้าง อะไหล่ไม่ได้แพงเวอร์ แต่ไม่ถูก กลางๆระหว่ารถยุ่นกะรถยุโรปในคลาสเดียวกัน ออกจะติดมาทางคบหาได้ง่ายมากกว่ายุโรปนิดหน่อย เสียจุดจิกมีบ้างแต่ไม่น่าเกลียดครับ สลิงดึงเปลี่ยนเกียร์ที่ขาดกันหลายคัน แก้ไขไม่ยาก และอยู่ทนนาน เครื่องไม่ได้เปราะปวกเปียก ดูแลดีๆก็อยู่กันนาน
-เชื้อเพลิงทางเลือ ใช้ได้ทุกประเภท แต่เลือกใช้ให้เหมาะกับตัวเรา และปรับแต่งตัวรถให้เหมาะสมกับเชื้อเพลิงเหล่านั้นด้วยครับ
Show
0 Comments
prev